31 พฤษภาคม 2555

จันทบุรี...ส่งท้ายปีเก่า 2550

31 ธันวาคม 2550

ส่งการบ้านค้างเก่า...ทริปจักรยาน @ ส่งท้ายปีเก่า


เฮะ เฮะ...ต้องมาออกตัวอย่างอาย ๆ ทริปจักรยานค้างเก่าตั้งแต่ปีที่แล้ว (31 ธันวาคม 2550) ไม่ได้นำภาพมาฝากกัน

พอถึงตอนนี้มีภาพหลายชุดอยากจะนำมาฝาก จึงต้องเริ่มจากการบ้านค้างเก่านานนนน

ช่วงวันหยุดปีใหม่ ได้หอบน้องหมาโค้กกับสไปรท์จากบ้านของมะจังไปบ้านแม่ที่อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี...นอนอืดอยู่ 2 วัน (ที่อืดเพราะสั่งกับข้าวไว้หลายอย่าง ต้องกินให้หมดตามออเดอร์ ไม่งั้นคราวหน้าอย่าหวังว่าจะได้ออเดอร์อีก) พอวันที่สามก็ประกอบเจ้าสีเงินคู่ขาที่ใส่ท้ายรถไปด้วย ออกมาตั้งใจไปปั่นลดความอืดสัก 70-80 กม.

ออกจากอำเภอโป่งน้ำร้อนมุ่งหน้าเข้าตัวอำเภอเมืองจังหวัดจันทบุรีครับ...เส้นทางนี้คือทางหลวงสาย 317 หรือ สายจันทบุรี-สระแก้ว ขาไปฉลุย...ลงเขาตลอดเส้นทาง

ก็แค่ระวังอย่าปล่อยให้เร็วมากจนแหกโค้งตกเขาก็แล้วกัน
ความที่กลัวตกเขาก็เลยมีแต่ภาพหลังจากลงเขามาแล้วมาฝาก ผ่านมาได้ประมาณ 25 กม. ก็ถึงทางแยกเข้าอำเภอมะขาม เลี้ยวเข้าไปเลย


อำเภอมะขามเป็นอำเภอที่ไม่ค่อยจะมีชื่อเสียงโด่งดังนัก หากพูดถึงจังหวัดจันทบุรี ใคร ๆ ก็จะนึกถึงอำเภอชายทะเลอย่างอำเภอแหลมสิงห์ อำเภอท่าใหม่ หรือไม่งั้นก็ขึ้นภูเขาไปเยี่ยมเยียนอำเภอสอยดาวไปเลย...แต่ที่จริงแล้วอำเภอมะขามเป็นอำเภอที่มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก
ผ่านป้ายนวดแผนไทยกันแล้ว แต่ไม่ได้แวะนวดนะครับ...เส้นทางนี้เป็นเส้นทางผ่านตัวอำเภอมะขาม ซึ่งคู่ขนานกันไปกับเส้นทางจันทบุรี-สระแก้ว เป็นทางไม่ใหญ่ การจราจรไม่พลุกพล่าน และรถวิ่งไม่เร็ว รวมถึงสองข้างยังร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่ และบึงน้ำอีกด้วย
จริง ๆ ตั้งใจมาที่นี่...เฮะ เฮะ บอกอย่างอาย ๆ อีกเหมือนกันว่าไม่เคยมา "วัดนักบุญยอห์น อัครสาวก"  หรือที่ชาวคาธอลิคจันทบุรีเรียกง่าย ๆ ว่า "วัดมะขาม"


เป็นวัดเล็ก ๆ สงบเงียบ เนื่องจากประตูปิด จึงไม่มีโอกาสได้เข้าไปภายใน
 ถ้ากลับตอนนี้ถึงบ้านก็แค่ 60 โลฝ่า ๆ เอง ไปต่ออีกหน่อยก็แล้วกันน่า


ว่าแล้วก็ปั่นต่อไปจนถึงตัวเมืองจันทบุรีครับ...ไม่รู้จะไปไหนดี ไหน ๆ เข้าวัดแล้ว ก็เข้าต่ออีกวัดนึงเลยก็แล้วกัน ไม่ค่อยจะมีภาพวัดคาธอลิคมาฝากกันบ่อยนัก

ไปถึงวัดคาธอลิกจันทบุรีแล้วหิวพอดี ต้องทานที่นี่ ร้านชื่อดังของเมืองจันท์ "ก๋วยเตี๋ยวเลียง ร้านเจ๊นา"

" เปิดขาย 8.00-15.00 น. ทุกวัน

ก๋วยเตี๋ยวเลียงร้านนี้ คนเมืองจันท์เขาเรียก "ก๋วยเตี๋ยวเจ๊นา" อยู่ตรงหน้าวัดโรมันคาธอลิก ใกล้ ๆ กับโรงเรียนสตรีมารดาพิทักษ์ ขายมาประมาณ 35 ปีแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้วัฒนา นิรันด์พงศ์ซึ่งเป็นลูกชายจะรับช่วงดูแลกิจการต่อจากพ่อแม่ก็ตาม แต่ใคร ๆ ก็ยังเรียกก๋วยเตี๋ยวเจ๊นาอยู่

ความอร่อยของก๋วยเตี๋ยวเลียงเจ้านี้อยู่ที่น้ำซุปรสชาติหวานกลมกล่อม กรรมวิธีการทำน้ำปรุงของเขายังคงทำแบบเดิม คือใส่เครื่องเทศที่เรียกว่า "เครื่องต้มก๋วยเตี๋ยว" อันได้แก่ โป๊ยกั๊ก กระวาน กานพลู ใส่ลงไปต้มในน้ำซุป ปรุงรสด้วยน้ำตาลอ้อย น้ำซุปจึงหวานหอม กลมกล่อมถูกใจลูกค้า

ส่วนเนื้อวัวที่ใช้ เจ๊นาเลือกใช้เฉพาะเนื้อน่องมาทำเนื้อเปื่อย หั่นเป็นชิ้นใหญ่ ๆ วางเรียงมาในชามก๋วยเตี๋ยว ยังใส่เครื่องในสดพวกตับ หัวใจ และลิ้นวัวด้วย โดยเฉพาะลิ้นวัว ลูกค้าจะชอบเป็นพิเศษเพราะมันนุ่ม เคี้ยวหนึบหนับดี เครื่องเคราอีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือลูกชิ้นเนื้อวัว ซึ่งซื้อจากค้านลูกชิ้นเนื้อเจ้าดังของเมืองจันท์

เดิมทีก๋วยเตี๋ยวเลียงเฉพาะก๋วยเตี๋ยวเนื้อเท่านั้น มาภายหลังลูกค้าบางคนไม่นิยมกินเนื้อ จึงทำก๋วยเตี๋ยวหมูเลียงเพิ่มขึ้นด้วย แต่ไม่มีเครื่องใน

เครื่องปรุงรสที่จะช่วยให้ก๋วยเตี๋ยวเลียงอร่อยยิ่งขึ้นคือพริกตำ ร้านนี้ใช้พริกขี้หนูตาละเอียด ผสมน้ำส้มสายชู เกลือ และน้ำตาลอ้อย ให้รสชาติเผ็ด เปรี้ยว และหอมหวาน

ลองกินก๋วยเตี๋ยวเลียงเมืองจันท์ร้านนี้ดู จะได้รู้ว่ารสชาติอาหารของดีที่นี่เป็นอย่างไร และไม่เป็นการเสียเที่ยวที่อุตส่าห์มาถึงจันทบุรี

(ข้อมูลจากหนังสือ เที่ยวไปกินไป จันทบุรี)"

ผมไม่ได้เก็บภาพร้านเจ๊นาและก๋วยเตี๋ยวมาฝากครับ...มัวแต่อร่อยจนลืม

อิ่มแล้วก็เดินเที่ยวแถว ๆ นั้น มีเรื่องราวน่าสนใจหลายเรื่อง

บ้านแบบนี้เค้าเรียกว่า "บ้านโบราณลายขนมปังขิง" ยังพอมีเหลือให้ดูอยู่อีกหลังสองหลัง แต่ชอบเรียกว่า "เรือนลูกไม้" มากกกว่า ก็ไม่รู้จักนี่ครับว่าลายขนมปังขิงมันเป็นอย่างไร แต่คิดว่าลายฉลุบนไม้เหมือนกับลายฉลุบนผ้าลูกไม้ที่ใช้ทำระบายผ้าม่าน ชายเสื้อ ชายกระโปรงมากกว่า
 จากตรงนั้นอีกนิดเดียว ก็เป็นสะพานข้ามแม่น้ำจันทบุรี ฝั่งตรงข้ามเป็นย่านชุมชนคนจีนเก่าเรียกว่า "ท่าหลวง" เป็นห้องแถวไม้แบบโบราณ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่าเคยมีไฟไหม้ใหญ่ครั้งหนึ่งทำให้ห้องแถวแบบนั้นเสียหายไปมาก และป่านนี้ก็คงเป็นตึกแถวไปหมดแล้วมั้ง
ตอนที่ครอบครัวเราย้ายไปอยู่ที่จันทบุรีใหม่ ๆ เราเคยพักอยู่กับญาติคนหนึ่งที่บริเวณท่าหลวงนี่อยู่เกือบ 1 ปี ตอนกลางคืนจะมีภาพยนต์กลางแปลงมาฉาย โดยตั้งจอขวางเต็มกลางถนน บางคืนก็มีงิ้ว ตั้งเวทีขวางเต็มถนนเช่นกัน เราจะนอนเอาหัวมุดออกมาจากระเบียงบ้านมาดูจนปวดคอ


และอีกหนึ่งความทรงจำก็คือ ทุกเช้า-เย็นเราจะต้องข้ามแม่น้ำจันทบุรีตรงนี้เพื่อไปขึ้นรถโรงเรียนที่มารับ-ส่งจากหน้าวัดคาธอลิค ตอนโน้นนนนน (แปลว่านานมาก นานแค่ไหนห้ามถาม ) ยังไม่มีสะพานหรอกครับ...ใช้เรือแจวเป็นพาหนะในการข้ามแม่น้ำสายนี้
ค่าเรือแจวแค่คนละสลึงเดียวเอง...นานแค่ไหน คิดดู หุ หุ หุ

ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน...แม่น้ำจันทบุรีก็ยังคงเป็นสายชีวิตหล่อเลี้ยงชาวจันทบุรีอยู่ ถึงแม้ว่าจะไหลเอื่อย หรือแห้งขอดเป็นบางช่วงในหน้าแล้ง และไหลหลากท่วมท้นสองฝั่ง ท่วมตัวเมืองในหน้าน้ำก็ตาม
จากสะพาน..กลับหลังหัน จะมองเห็น "โบสถ์แม่พระปฏิสนธินิรมล" หรือ วัดคาธอลิคจันทบุรีอยู่เบื้องหน้า ขวามือคือบ้านลายขนมปังขิง และซ้ายมือคือร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊นา
"โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2448 ในยุคของบาทหลวงเปรีกาล ชาวฝรั่งเศส เป็นการสร้างแบบทรงศิลปะก่อสร้างที่เรียกว่า "โกธิก" เป็นการลอกเลียนแบบมาจากทางยุโรปในยุคที่เรียกว่า สถาปัตยกรรมโกธิกนั่นเอง


ภายในโบสถ์เป็นห้องโถงโล่งสูง ประดับด้วยกระจกสีแบบตะวันตกที่เรียกกันว่า สเตนกลาส เป็นรูปนักบุญและลวดลายหลายหลากชนิด ดูสวยงาม ขรึม ขลัง แต่อบอุ่นอยู่ในที

(ข้อมูลจาก หนังสือเที่ยวไปกินไป จันทบุรี)"
   เข้าไปชมภายในโบสถ์กันเลยครับ
  บรรยากาศจากค่ำคืนคริสต์มาส
   หน้าต่างกระจกสี
ภาพจากประตูทางเข้าด้านหน้า และบันไดเวียนขึ้นชั้นลอย...และกำลังจะเป็นทางออกของเรา เพื่อไปลุยบนหลังอานกันต่อ
ออกจากตัวเมืองจันทบุรีเราก็ใช้เส้นทางเดิม สายจันทบุรี-สระแก้วเป็นเส้นทางปั่นกลับ โดยไม่ผ่านเข้าตัวอำเภอมะขามดังเช่นขามา...แต่เรื่องราวไม่ง่ายดายอย่างขามา


ในเมื่อขามาเป็นเส้นทางลงเขา ขากลับก็ต้องเป็นเส้นทางขึ้นเขา...แถมยังทวนลมตลอด 40 กม. กว่า ๆ อีกด้วย....ดูทางลมได้จากดอกหญ้าริมทาง ลมพัดจากซ้ายไปขวา แล้วนึกภาพดูว่าผมต้องปั่นสวนทางขึ้นไป จากขวาไปซ้าย โฮ โฮ โฮ

ก้มหน้ามองพื้นหลบลมยังไม่พอ...เงยหน้ามองฟ้าสิครับ ไม่มีเมฆเลยแม้แต่นิดเดียว



ภาพนี้ได้มาจากศาลาชาวบ้านที่พักริมทาง...มีโมบายล์เปลือกหอยแขวนไว้ให้นอนดูเล่น เอ๊ย..แขวนไว้เล่นลมสวย ๆ ด้วย แหม...เกือบหลับไปแล้วสิเรา สบายมากไปแล้ว...ไปลำบากต่อดีฝ่า


ฉากต่อไป ปีนเขา ชื่อเขาเกลือ ก็เขาที่พุ่งลงมาตอนขามานั่นแหละ...ระยะทางไต่ขึ้นเขาแค่ 3 กม. เอง

ไปกลับรวมระยะทาง 90 กม. พอดิบ พอดี กว่าจะถึงบ้านแทบแย่...รู้งี้เชื่อแม่กลับซะตั้งแต่แรกก็ดีหรอก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น