23 กุมภาพันธ์ 2551

ไอ เอ็น จี ชัยชนะอันสูงสุด

19 มีนาคม 2548
ไอ เอ็น จี วัฒนธรรมไทย มาราธอนนานาชาติ

เริ่มต้นการเป็นนักวิ่งถนนครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2546 ด้วยระยะทาง 5 กิโลเมตร ผ่านมา 2 ปี มีนาคม 2548 เกือบเอาชีวิตไม่รอดบนระยะทาง 42.195 กิโลเมตร ในงาน ING Thailand Temple Run 2005 หรือ ไอ เอ็น จี วัฒนธรรมไทย มาราธอนนานาชาติ ที่อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม


นักวิ่งระยะเต็มมาราธอนถูกปล่อยตัวเมื่อเวลา 16.30 นาฬิกา ถึงแม้ว่าแสงแดดจะไม่แผดกล้านัก แต่อากาศก็ร้อนอบอ้าว ลมเงียบสงบ ใบไม้ไม่กระดิกสักใบ เริ่มวิ่งช้า ๆ ชมนกชมไม้ไปเรื่อย ๆ ผ่านไป 2 กิโล ทำเวลาได้ตามที่ซ้อมมา ผ่านไปจนถึงจุดกลับของระยะมินิมาราธอน เอ๊ะ ทำไปรู้สึกเหมือนอยากจะกลับตัวตามไปด้วย เหงื่อออกซะอย่างกับวิ่งมาแล้ว 10 กิโล น่าจะเป็นเพราะอากาศร้อนมาก แต่ยังคุมเวลาได้อยู่ ไม่เป็นไรน่า ถึงจุดให้น้ำ ใช้น้ำราดหัว ราดตัว แล้วหยิบฟองน้ำติดมือมาด้วย พอคลายร้อนได้บ้าง เดี๋ยวก็คงดีขึ้น

วิ่งกันต่อมา ผ่านสวนผลไม้ มีป้ายข้างทางเป็นระยะ ๆ ชวนเที่ยวงานเทศกาลส้มโอ และลิ้นจี่ที่จะมาถึงเร็ว ๆ นี้ สองข้างทางเป็นสวนลิ้นจี่ มีลูกสีเขียวเล็ก ๆ อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะโต และเป็นสีแดงน่ารับประทาน

ชมสวนผลไม้ไปได้อีก 2-3 กิโล ได้ยินเสียงฝีเท้ากลุ่มหนึ่งวิ่งไล่หลังมา เป็นกลุ่มนักวิ่งชายแนวหน้าระยะฮาล์ฟมาราธอน เกาะกลุ่มกันมา 5-6 คน วิ่งแซงไปด้วยความรวดเร็ว และตามมาอีกทีละคนสองคนเป็นระยะ ๆ ให้ดูเพลิน ๆ แก้ร้อนได้อีกจนถึงจุดกลับตัวของระยะฮาล์ฟมาราธอน

นักวิ่งมาราธอนต้องเลี้ยวขวาเข้าไปวนในบริเวณโรงเรียนวัดแก้วเจริญก่อน 1 รอบ เพื่อเก็บระยะทาง ก่อนจะออกมาผ่านจุด Check Point

โรงเรียนวัดแก้วเจริญเป็นโรงเรียนที่อยู่ในบริเวณวัด มีสนามกว้างให้พวกเราวิ่งอ้อม มีพระสงฆ์อาวุโสออกมากวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นตามพื้น เป็นบรรยากาศแบบไทยชนบท ที่ไม่มีให้เห็นบ่อยนักในชีวิตคนเมือง

ที่จุด Check Point พบกับพี่นักวิ่งร่วมชมรมซึ่งวิ่งนำหน้ามาไกล แสดงว่าต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ ๆ เพราะไม่น่าที่จะไล่ตามมาทัน ได้คุยกันจึงทราบว่า พี่เขามีอาการไม่ดีมาตั้งแต่กิโลที่ 6 แล้ว อาเจียรมาตลอดทาง ทั้งเพราะอากาศร้อน และอาหารที่ไม่ย่อย วิ่งคู่กันมาอีกสักพัก ก็หยุดอาเจียรอีก จึงอาสาวิ่งไปข้างหน้าและตามรถพยาบาลให้จากจุดให้น้ำข้างหน้า

หลังจากแจ้งขอรถพยาบาลให้พี่เขาแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองก็น่าจะต้องการรถพยาบาลเหมือนกัน เพราะหมดแรง วิ่งไม่ออก เหนื่อยและล้าเหมือนกับวิ่งมาแล้ว 30 กิโล ทั้ง ๆ ที่เหลือระยะทางอีกเกือบ 30 กิโล!

เลี้ยวซ้ายเข้าไปกลับตัวรับ Check Point รุ่นดั้งเดิมคือหนังยางผูกไหมพรมมาสวมข้อมือ แล้ววิ่งต่อ พบน้องผู้หญิงร่วมชมรมคนหนึ่ง นั่งพักอยู่ในร้านค้าข้างทาง โบกมือให้ แต่ตอนนั้นไม่มีแรงพูดแล้ว ได้แต่โบกมือตอบ แล้ววิ่งต่อ พยายามที่จะเกาะติดเพื่อนสาวร่วมชมรมไปด้วยกัน เพราะดวงตะวันเริ่มอ่อนแสง ท้องฟ้ามืดลงทุกขณะ ไฟถนนที่ประชาสัมพันธ์ไว้ว่ามีถึง 800 จุดนั้น มีจริง แต่ไม่ได้ให้ความสว่างเลย เป็นแค่ไฟกลม ๆ สีแดง บอกเส้นทางวิ่งเท่านั้นเอง

วิ่งบ้างเดินบ้าง เกาะหลังกันไปสองคน ท่ามกลางความมืด ร้อนด้วย ล้าด้วย ยังอุตส่าห์มีแก่ใจชื่นชมหิ่งห้อยที่บินฉวัดเฉวียนเป็นแสงเล็ก ๆ อยู่ตามยอดหญ้าข้างทาง บางตัวก็บินผ่านขาไป ชมหิ่งห้อยกันไปสองคน ให้กำลังใจกันไปเรื่อย จนผ่านกิโลเมตรที่ 21 แล้ว ก็ยังไม่ถึงจุดกลับตัวเสียที ตะคริวเริ่มถามหาที่น่องซ้าย

หยุดนวดขาบ้าง วิ่งต่อบ้าง เดินบ้าง จนเข้าเขตวัดช่องลม เพื่อไปกลับตัว และผ่าน Check Point อีกจุดหนึ่ง ต้องหยุดเติมพลังงานด้วย Power Gel และนวดขาเพื่อคลายตะคริว วิ่งออกมาจากวัดก็มองไม่เห็นเพื่อนสาวแล้ว ต้องวิ่งต่อมาคนเดียวท่ามกลางความมืด

แข็งใจวิ่งบ้าง เดินบ้างต่อไปอีกหลายกิโล จนตะคริวต้องยอมแพ้ และหายไปเอง เหลือแต่ความอ่อนล้าทางร่างกาย ตอนนี้แหละ เพื่อนวิ่งก็ไม่มี วิ่งอยู่คนเดียวบนถนนเล็ก ๆ สองข้างทางเป็นสวนผลไม้อันมืดมิด ไม่มีเรื่องปวดขาให้เป็นกังวล ใจเลยหันมากังวลเรื่องอื่นแทน

ก็น่ากลัวไหมล่ะ ผู้หญิงคนเดียวมาวิ่ง ๆ เดิน ๆ อยู่ได้ในที่มืด ๆ สองข้างทางเป็นสวนยาวตลอด บ้านคนก็ไม่มี ร้านค้าก็ไม่มี แต่งตัวก็ล่อแหลม นุ่งก็สั้น ผิดกฏการระวังรักษาความปลอดภัยของสตรีอย่างมหันต์! ถ้าเกิดอะไรขึ้น อย่าฝันไปเลยว่าจะร้องให้ใครช่วย อย่าคิดเลยว่าจะสู้ อย่านึกเลยว่าจะวิ่งหนี แรงจะขยับขายังแทบไม่มี ผีหรือหมาที่คุยเล่นกันตอนก่อนวิ่งน่ะ เรื่องเล็กไปเลย

เอาล่ะสิ กายก็ล้า ใจก็ฝ่อ เลิกวิ่งซะเลยดีไหมเนี่ย เจอจุดให้น้ำข้างหน้าขอขึ้นรถกลับเลยดีกว่า

ฉับพลันนั้นมีแสงไฟส่องมาจากเบื้องหลัง และเสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา สัญชาติญาณสั่งให้หยุดวิ่ง แล้วหันไปดู สวัสดีครับ ผมมาส่องไฟให้ครับ เห็นวิ่งอยู่คนเดียวมืด ๆ อันตรายครับ เดี๋ยวผมขี่รถส่องไฟเป็นเพื่อนให้ ทำไมไม่มีเพื่อนล่ะครับ ผมส่องไฟเป็นเพื่อนรอจนกลุ่มหลังตามมาทันก็แล้วกันนะครับ เมื่อกี้เห็นมีขี้เมาอยู่กลุ่มนึงด้วย อย่าไปคนเดียวเลยครับ อันตรายครับ สวนมืด ๆ ทั้งนั้น หรือไม่งั้นผมไปส่งจนถึงที่สว่าง ๆ ก็ได้ครับ ข้างหน้าอีกไม่ไกลแล้วครับ ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องเกรงใจครับ

ก็ได้ผู้ชายชาวบ้านท่านนี้แหละเป็นกำลังใจให้วิ่งต่อมาได้อีกราว ๆ 2 กิโล จนถึงหน้าโรงงานอะไรก็ไม่รู้ กิโลที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบ ที่มีไฟสว่าง ก็ขอแยกทางกลับไป ได้แต่หันไปยกมือไหว้ขอบคุณ

ที่จุดให้น้ำประมาณกิโลที่ 28-29 ก็มีคนชวนขึ้นรถไปลงที่จุดให้น้ำอีก 3 จุดข้างหน้า ต้องแข็งใจปฏิเสธทั้ง ๆ ที่อยากเลิกวิ่งใจจะขาด ถ้าชวนขึ้นรถกลับเลยคงทำไปแล้ว แต่ชวนขึ้นรถไปลงข้างหน้า ทำไม่ได้จริง ๆ ทำใจไม่ได้ ถ้าจะไม่ถึงเส้นชัยก็ขอไปไม่ถึง แต่ถ้าจะต้องไปให้ถึงเส้นชัยก็ขอไปด้วยสองขาให้ตลอดระยะทางเถิด

ประธานชมรมวิ่งมาทันที่จุดนี้ ก็วิ่งตามหลังตามท่านประธานไปห่าง ๆ พอให้เห็นว่ามีคนอยู่บ้าง ไม่ได้วิ่งอยู่คนเดียวในความมืด มาได้อีกสักพัก ยังไม่ทันถึงจุดให้น้ำจุดถัดไป รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เหมือนจะเป็นไข้ ขาก้าวไม่ออก เดินได้อีก 4-5 ก้าวก็ต้องลงนั่งหน้าบ้านหลังหนึ่ง พอมีไฟสลัว และทำใจ ได้แต่มองท่านประธานลับสายตาหายไปในความมืด

คงจบมาราธอนนี้เพียงเท่านี้ ได้แต่คิดว่าจะกลับอย่างไร ? ไปต่อก็ไม่ไหว กลับก็ไม่มีรถ คนดูแลตามเส้นทางก็ไม่มี ทั้งเหนื่อย ทั้งล้า ทั้งมืด สารพัด

น้อง นักวิ่งหรือเปล่า มาวิ่งไปกับพี่มา อย่ามาอยู่คนเดียว เสียงหนึ่งดังขึ้น เงยหน้าขึ้นมอง พี่เหรอ ลุงมั้งเนี่ย มาถึงป่านนี้แล้ว อีกสัก 10 โลเอง ลุงเขายังทำได้เลย ต้องทำได้สิ จะถอยแค่นี้ได้ยังไง เอ้า ไปก็ไป

คุณลุงเดินเร็วมาก จนบางครั้งทิ้งระยะห่าง ต้องวิ่งเหยาะ ๆ ตาม เพราะลุงจะคอยหันมาดู และพูดคุยให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา จนเราเองต้องตามให้ทัน ไม่เป็นตัวถ่วง ลุงสอนให้เดินเร็ว ๆ ก้าวเท้ายาว ๆ ยกแกว่งแขนให้สูงเหนือเอว จะได้มีแรงส่งให้เดินได้เร็ว คอยถามว่าจะกิน Power Bar หรือ Power Gel ไหม ก็ได้แต่ปฏิเสธ ตอนนั้นกินอะไรไม่ลงแล้ว ขนาดลูกอมคาราเมลที่ลุงแบ่งให้ เป็นของโปรดที่มีติดโต๊ะทำงานตลอดยังต้องแอบคายทิ้งเลย

วิ่ง ๆ เดิน ๆ ตามคุณลุงมาอีกสักกิโลกว่า ๆ ก็พบเพื่อนร่วมรุ่นคุณลุงอีก 2 ท่านอยู่ข้างหน้า ทักทายและเกาะกลุ่มเป็น 4 คน ฟังเขาคุยกันสักพัก ถึงได้ทราบว่าทำไมคุณลุงถึงแทนตัวเองว่าพี่ ก็พี่ยังไม่แก่นี่ อายุแค่ 76 ปี ขนาดยังลงกรีฑาอาวุโสยังไม่ได้เลย ได้เลยค่ะ คุณพี่ก็คุณพี่ วิ่งตามกันได้อีกไม่ถึง 500 เมตร เราสองคนพี่น้องก็ทิ้ง 2 ท่านนั้นห่างออกไป โอ๊ะ! เราทำได้ กำลังใจมาอีกเยอะเลย

คุณพี่ก็เริ่มสอนต่อ เวลาเดินพี่จะคอยนับดวงไฟกลมสีแดงนั้น จะได้ทำให้เดินได้ดี ลืมเหนื่อย เอ้า นับ หนึ่ง สอง สาม กว่าจะรู้ตัวว่าโดนคุณพี่หลอกก็นับไปเรื่อย จนคุณพี่เริ่มวิ่งบ้างแล้วก็ต้องวิ่งตาม โอ๊ย อายุขนาดนี้ วิ่งเร็วขนาดนี้ ตาย ตาย ตาย แล้วคุณพี่ก็หยุดวิ่ง มาเดินต่อ แล้วก็วิ่งอีก เดินอีก คุณพี่สอนว่าต้องวิ่งกระตุ้นกล้ามเนื้อบ้าง เดินอย่างเดียว กล้ามเนื้อจะยึด แล้วจะเดินช้าลงเรื่อย ๆ เอาเลย ให้ทำอะไรก็ทำแล้ว สมองสั่งการเองไม่ได้แล้ว คุณพี่ทำอะไรทำด้วยคนก็ละกัน ขอให้ถึงเส้นชัยเป็นพอ

โบราณว่าตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด แต่ลมจะจับเอาแถว ๆ กิโลที่ 34-35 ได้มั้ง นอกจากจะบรรยากาศมืดแล้ว เริ่มจะหน้ามืดด้วย มาถึงจุดให้น้ำพอดี ถึงเก้าอี้ลงนั่งได้ก็มืดสนิทเลย รู้สึกแต่มีคนเอายาป้าย ๆ ที่ขา ที่แขน ที่ไหล่ ก็แล้วก็นวด พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นหน้าคุณพี่แบบเบลอ ๆ กำลังนวดอย่างตั้งอกตั้งใจ เงยหน้าขึ้นมาคุณพี่จับนวดที่ขมับ และที่กลางหัว จนมองเห็นชัดเจน จึงพยักหน้าบอกโอเคแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว คว้าเกลือแร่มาดื่มได้ครึ่งแก้ว น้ำเปล่าอีกครึ่งแก้ว แล้วก็ออกเดินกันต่อไป

เดินได้อีกยังไม่ทัน 200 เมตร ต้องอาเจียรออกมา เป็นน้ำและน้ำเกลือแร่ คุณพี่ก็มาลูบหลัง และส่งผ้าขนหนูให้ บอกว่าให้โปะหัวไว้จะได้รู้สึกดีขึ้น ผ้าขนหนูผืนนี้พิเศษ เพราะเป็นผ้าผืนยาวทบครึ่งแล้วเย็บสามด้าน เว้นที่ไว้เป็นซิปนิดนึง ลักษณะเป็นเหมือนกระเป๋า ข้างในบรรจุน้ำแข็งก้อน ๆ ก็รับมาโปะหัว โปะหน้าผาก แล้วก็วางไว้ที่คอ เฮ้อ…ดีขึ้น

เดินตามคุณพี่ต่อมาได้จนถึงจุดให้น้ำถัดไป คุณพี่ควักยาหอมมาละลายน้ำครึ่งแก้วส่งให้ โอ้โฮ พกกระเป๋าโดเรมอนมาเหรอ มีของสารพัดอย่างเลย นี่ล่ะคนเขาเตรียมตัวพร้อมสำหรับการวิ่งมาราธอนจริง ๆ

ไม่กล้ารับอะไรลงท้องอีกแล้ว กลัวจะออกมาหมด ได้แต่จิบยาหอมไปจนหมดแก้ว เพื่อนร่วมรุ่นของคุณพี่สองท่านนั้นก็นั่งมอเตอร์ไซค์แซงมา ตะโกนทักว่าขอไปก่อนไปลงข้างหน้านะครับ คุณพี่ก็โบกมือตอบ แล้วก็เล่าให้ฟังว่า เคยไปแข่งมาราธอนที่……… ขอไม่บอกชื่องานก็แล้วกันนะ คุณพี่จะต้องชนะได้เงินรางวัล แต่คนที่ขึ้นไปรับรางวัลเป็นคนที่ขึ้นรถผ่านระยะทาง เข้าเส้นชัยก่อน แล้วก็ขึ้นไปรับรางวัลหน้าตาเฉย อย่างงานแบบนี้มีฝรั่งคอยขี่รถดู ไปทำแบบนั้น อายฝรั่งมัน เราคนไทย ต้องมีศักดิ์ศรี พี่ทำไม่ได้ เงินรางวัลแค่ไม่กี่พันบาท ศักดิ์ศรีของเรามีค่ามากกว่านั้น

ฟังแล้วอึ้ง คุณพี่ผ่านมาแล้วเป็นร้อยสนาม คงเห็นเหตุการณ์แบบนี้มามาก นักกีฬาต้องมีหัวใจนักกีฬา คุณพี่คะ ขอสู้ค่ะ เหลืออีกแค่ 3-4 โล มาถึงป่านนี้แล้ว ต้องทำได้ จะสภาพไหน จะใช้เวลาเท่าไหร่ ขอผ่านทุก ๆ เมตรด้วยสองเท้าค่ะ แล้วเราก็เดิน ๆ วิ่ง ๆ นับเสาไฟกันต่อไป มาแซงนักวิ่งหนุ่มสาวได้อีก 3 คน ใจมาอีกเป็นกอง จนถึงกิโลเมตรที่ 40 คุณพี่ก็ทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะทำให้

ยังไม่มีใครทำให้ พี่ขอปรบมือให้น้องเป็นคนแรกเลย น้องใจสู้จริง ๆ ยังไม่เคยเห็นใครสู้ได้ขนาดนี้ แล้วก็ปรบมือให้

ตื้นตันขึ้นมาทันใด เหมือนมีก้อนแข็ง ๆ มาจุกที่คอ ต้องยกมือไหว้ กลืนก้อนแข็ง ๆ ลงไป ก่อนตอบไปว่าที่ทำได้ก็เพราะคุณพี่แหละ ไม่อย่างนั้นถอดใจไปนานแล้วค่ะ เราต้องไม่ถอด เราเหนื่อยได้ เราล้าได้ แต่อย่าท้อถอย

แล้วเราสองคนก็เข้าเส้นชัยพร้อมกันอย่างภาคภูมิใจ เข้าเส้นชัยด้วยศักดิ์ศรี เข้าเส้นชัยพร้อมกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ชนะสภาพร่างกาย ชนะสภาพจิตใจ ชนะความอ่อนแอในใจตัวเอง ชัยชนะอันสูงสุด

ขอบคุณค่ะ ขอบคุณกำลังใจที่ให้ ขอบคุณการดูแลตลอดระยะทาง ขอบคุณเทคนิคต่าง ๆ ที่สอน ขอบคุณที่ทำให้สู้อย่างมีศักดิ์ศรี ขอบคุณคุณพี่อุดม มาศพงศ์ ขอกราบขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น