04 พฤษภาคม 2551

โอ๊ย...ทำไมอ้วนอย่างนี้ !

(ภาพจากงานวิ่งธนาคารหลวงไทยมินิมาราธอน 2550)



หลังจากป่วยหนักตอนอายุยี่สิบต้น ๆ ก็เป็นคนผอมมาตลอดสิบปีไม่เคยมีปัญหาเรื่องรูปร่างและน้ำหนัก ด้วยส่วนสูง 160 กว่า หนัก 45 กก. ซึ่งอาจจะเป็นส่วนสูงและน้ำหนักในฝันของสาว ๆ สมัยนี้ แต่รู้ตัวว่าไม่แข็งแรง ป่วยง่าย หายยาก แค่เป็นไข้หวัดธรรมดาก็ใช้เวลาถึง 2-3 สัปดาห์กว่าจะหายเป็นปรกติ

เวลาผ่านไป 10 ปี จากน้ำหนัก 47-48 ขึ้นมาเป็น 60 กก. ภายในเวลา 3 เดือน คือตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงมกราคม ช่วงนั้นที่ทำงานเรียกว่า "ฤดูกินเลี้ยง" เพราะเป็นช่วงปลายปีที่ฝ่ายขายจะได้สนุกสนานกับเงินรางวัลจากการขาย และงานเลี้ยงปีใหม่ เรียกว่ามีเลี้ยงกันแทบทุกคืนสลับพื้นที่เขตขายกันไป มารู้ตัวอีกทีก็ตอนใส่กางเกงไม่ได้แล้ว พยายามลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหารอยู่ 3 เดือน ก็ไม่ได้ผล จนกระทั่งทนดูรูปร่างตัวเองในกระจกไม่ได้อีกต่อไปแล้ว จึงตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกที่ Fitness Center แห่งหนึ่งใกล้ ๆ ที่ทำงาน

เริ่มต้นด้วยการเดินสลับวิ่งบนลู่วิ่ง ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ได้ระยะทาง 3 กิโลเมตร และพยายามเพิ่มระยะทางไปเรื่อย ๆ ในเวลาเท่าเดิม แรก ๆ ก็ฝืนใจไป Fitness วันเว้นวัน คิดแล้วสัปดาห์ละ 3-4 วัน บวกกับการควบคุมอาหาร ในที่สุด 3 เดือนผ่านไป น้ำหนักหายไป 5 กิโลกรัม พร้อมกับร่างกายที่แข็งแรงขึ้น สามารถวิ่งได้ตลอดระยะเวลา 30 นาทีโดยไม่ต้องหยุดพัก หรือหยุดเดินเลย

หลังจาก 3 เดือนแรกผ่านไป ก็ไม่ต้องฝืนใจไป Fitness อีกต่อไป Fitness Center เพื่อออกกำลังกาย กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เหมือนกับติดยาเสพติด วันใดไม่ได้ออกกำลังกายจะรู้สึกไม่สบายตัว อารมณ์ไม่แจ่มใส ตรงกันข้ามกับวันที่ได้ออกกำลังกาย จะแจ่มใสมาก รู้สึกปลอดโปร่ง สบายใจ สบายตัว ความคิดอ่านราบรื่น มีสมาธิในการทำงาน

ผ่านไปอีก 6 เดือน จากการวิ่งวันละ 30 นาที ปั่นจักรยานอีก 20-30 นาที และ weight training เพื่อสร้างกล้ามเนื้อ น้ำหนักหายไปอีก 5 กิโลกรัม โดยไม่ได้ควบคุมอาหารแล้ว รวมทั้งสิ้น 9 เดือน น้ำหนักลดไป 10 กิโลกรัม ดูเหมือนช้า ไม่ทันใจบรรดาสาว ๆ ที่ใช้วิธีการลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วนภายใน 2-6 สัปดาห์ ทานยาลดความอ้วนทั้งหลาย หรือเสียเงินเข้าคอร์สลดน้ำหนักแพง ๆ ต้องแลกกับสุขภาพกายที่อ่อนแอลง รวมถึงสุขภาพจิตที่เสียไปเพราะฤทธิ์ยา หรือการที่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้อย่างที่ต้องการ แต่ผลตอบแทนคือ น้ำหนักที่กลับมาขึ้นเหมือนเดิม หรือมากกว่าเดิม

สุภาษิตว่า "ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม" น้ำหนักที่หายไป 10 กิโลกรัม ด้วยการควบคุมอาหารแค่ 3 เดือน พร้อม ๆ กับออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่ได้มาคือความมั่นใจที่กลับมา รูปร่างที่ต้องการ ผอมแบบมีกล้ามเนื้อ ไม่ใช่ผอมหนังหุ้มกระดูก เอวคอดเข้า หน้าท้องป่อง ๆ หายไป ต้นขาที่เคยมีไขมันกระเพื่อม ๆ ก็เล็กลง เป็นต้นขาเนื้อแน่น ๆ ทานไอศกรีม Banana Split ของโปรดได้บ่อย ๆ และน้ำหนักไม่เคยขึ้นอีกเลย !!

สิ่งที่ดีกว่าการได้รูปร่างดี ๆ กลับคืนมา ก็คือการได้สุขภาพที่ดีมาด้วย

เริ่มจากการที่เคยมีปัญหาเรื่องการหายใจ เหมือนกับหายใจได้ไม่เต็มปอด บ่อยครั้งผวาตื่นตอนกลางคืน เพราะรู้สึกเหมือนหยุดหายใจ และต้องลุกขึ้นมานั่งหายใจลึก ๆ ยาว ๆ แบบตั้งใจอยู่อีกหลายนาทีกว่าจะได้นอนต่อ บางทียังคิดกับตัวเองว่า ถ้าคืนใดคืนหนึ่งหยุดหายใจไป แล้วร่างกายไม่รู้สึกขาดอากาศจนตื่นขึ้นมา ก็คงตายไปเลยโดยไม่มีใครรู้สาเหตุ ตอนเช้าก็ไม่อยากตื่น เหมือนนอนหลับไม่เต็มที่ แต่เกียจคร้านที่จะไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ

เมื่อเริ่มมาออกกำลังกายอาการหายใจไม่เต็มปอดก็หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไม่ต้องหาหมอด้วย

ช่วงเปลี่ยนฤดูกาลที่เพื่อน ๆ เป็นหวัดและติดกันไปติดกันมา จากเพื่อนสู่เพื่อน จากพ่อสู่ลูก จากลูกสู่แม่ ก็ไม่ได้รับการติดต่อจากใคร หายใจสะดวกอยู่คนเดียวเป็นที่เบิกบานสำราญใจ

ต้องทำอะไรบ้างล่ะ ? ไม่ค่อยมีเวลานะ

ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางพลศึกษา หรือมีความรู้มากมายนัก สิ่งที่ทำคือเริ่มต้นจากสิ่งง่าย ๆ ที่ทุกคนทำได้ คือ การเดิน วันละ 20 นาที และเดินให้เร็วขึ้น และเดินให้นานขึ้นเป็น 30 นาที เดินอยู่ 2 อาทิตย์ก็เบื่อ เปลี่ยนมาเดินสลับวิ่ง ซึ่งแปลว่าเดินมากกว่าวิ่ง และพัฒนามาเป็นวิ่งสลับเดิน ซึ่งแปลว่าวิ่งมากกว่าเดินแล้วล่ะ แล้วก็วิ่งอย่างเดียวไม่มีเดิน และวิ่งให้เร็วขึ้น และก็วิ่งให้นานขึ้น ใช้การท้าทายตัวเองด้วยเป้าหมายในใจ เริ่มจากการวิ่ง 30 นาทีได้ระยะทาง 4 กม. ก็ตั้งเป้าหมายให้ได้ 4.5 กม. และ 5 กม. และมากกว่า 5 กม.

การตั้งเป้าหมายนี้ทำให้มีกำลังใจที่จะทำ ไม่ว่าทำการใดก็ตาม รวมถึงยังเพิ่มการศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองได้ได้ตามเป้าหมายด้วยนะ

ทำไมต้องเป็นการวิ่ง ? เพราะเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดที่ทำได้ด้วยตนเอง

เรารู้กันดีดีอยู่แล้วถึงผลดีของการออกกำลังกาย แต่ไม่ได้ทำ เพราะคิดว่าไม่มีเวลา ไม่มีเพื่อน ไม่มี Fitness ไม่มีสนามกีฬาอยู่ใกล้บ้าน ใกล้ที่ทำงาน การวิ่งไม่ต้องใช้ทั้งหมดที่กล่าวมา

ไม่มีเพื่อน ก็ไปวิ่งได้ ไปคนเดียว เดี๋ยวก็ได้เพื่อนเอง มัวแต่รอนัดเพื่อนไปตีแบด ไปเตะบอล รอกันไปรอกันมาก็ไม่ได้ไปซะที คนนี้ว่าง คนนั้นไม่ว่าง ใครว่างไม่ว่างไม่สนใจแล้ว ไปวิ่งดีกว่า ไปคนเดียวนี่แหละ ตอนนี้มีเพื่อนเยอะเลย ต่างคนต่างมาวิ่งคนเดียว วิ่งไปวิ่งมากลายเป็นเพื่อนกัน ไม่ต้องรอนัดด้วย มาเจอกันเอง มาวิ่ง

ไม่มี Fitness ไม่มีสนามกีฬา ก็วิ่งได้ ทุกสัปดาห์ต้องไปทำงานต่างจังหวัด สัปดาห์ละ 2-4 วัน ติดรองเท้าวิ่งไปด้วย สวนหย่อมหน้าโรงแรมก็วิ่งได้ สวนสาธารณะของจังหวัดไหน ๆ ก็วิ่งได้ ริมถนนก็วิ่งได้ ต่างจังหวัดตอนเช้าตรู่รถไม่เยอะหรอก ยิ่งไปจังหวัดชายทะเลยิ่งชอบใหญ่ วิ่งริมทะเลเลย บรรยากาศดี ฝรั่งหล่อ ๆ ออกมาวิ่งกันเพียบ ดูเพลินจนลืมเหนื่อยไปเลย

ไม่มีเวลา อือม์…ดูเหมือนเรื่องใหญ่นะ เลิกงาน 5-6 โมงเย็น ตรงกลับบ้าน แวะกินก๋วยเตี๋ยวก่อนดีกว่า จะได้ไม่ต้องทำกับข้าว เออ..ร้านนี้อร่อยดี คราวหน้าชวนเพื่อนมากินด้วยดีกว่า มีส้มตำขายด้วย คราวหน้าเลยกินกันยาว วันถัดมามีตลาดนัด เดินเล่นดีกว่า เดินไปเดินมาเสียตังค์อีกหลาย วันไหนเหนื่อยตรงกลับบ้าน นั่ง ๆ นอน ๆ ดูทีวี เบื่ออีก เซ็งชีวิต เสาร์อาทิตย์ทำอะไรดี เดินห้างช้อปปิ้ง กินของอร่อย ไปทำงานต่างจังหวัด ตกเย็นเที่ยวหาของอร่อยกิน วงจรประมาณนี้เหรอ เดินไปเดินมาเสียตังค์ กินไปกินมาเสียหุ่น

ลองอย่างนี้ดูบ้าง เลิกงาน 5-6 โมงเย็น แวะสวนสาธารณะหน้าหมู่บ้าน เปลี่ยนรองเท้า ไปวิ่งสัก 30 นาที ใช้เวลาพอ ๆ กับการกินก๋วยเตี๋ยว กลับบ้านทำอาหารง่าย ๆ เบา ๆ ประเภทผักผลไม้กิน ดีซะอีกไม่มีไขมัน คราวหน้าไม่ต้องแวะร้านส้มตำกับเพื่อน เปลี่ยนเป็นแวะสวนสาธารณะหน้าหมู่บ้าน ไปวิ่งสัก 40 นาที ใช้เวลาพอ ๆ กับการกินส้มตำ วันถัดมาไม่ต้องเดินเล่นที่ตลาดนัด เปลี่ยนเป็นเดินเล่นในสวนสาธารณะหน้าหมู่บ้าน เดินสัก 20 นาที วิ่งอีก 40 นาที ใช้เวลาพอ ๆ กับการเดินตลาดนัด ไม่เสียตังค์ด้วย วันไหนเหนื่อยตรงกลับบ้านเปลี่ยนจากนั่ง ๆ นอน ๆ ดูทีวี เป็นนั่งยืดเส้นยืดสายหน้าทีวีเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ เสาร์อาทิตย์ กินของอร่อยได้ แล้วไม่ต้องเดินช้อปปิ้ง ไปเดินไปวิ่งดีกว่า เดินแบบนี้ไม่เสียตังค์ กินแบบนี้ไม่เสียหุ่น

"เวลา" หาได้เสมอ ถ้าจะหา ทุกคนมีเท่ากัน วันละ 24 ชั่วโมง

ทำอะไรเพื่อคนที่รักได้เยอะแยะ รักตัวเองหรือเปล่า ทำสิ่งดี ๆ เพื่อตนเองบ้าง ทำแบบนี้ไม่มีใครว่าเห็นแก่ตัว รูปร่างดี สุขภาพกายดี สุขภาพจิตดี มองโลกในแง่ดี ไม่อยากมีบ้างหรือ ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น